ประชาชน “เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ” ความโปร่งใสรัฐบาล – ฝ่ายค้านคะแนนนิยมขยับต่อเนื่อง

บทนำและภาพรวมการเมือง

          เดือนตุลาคม 2568 ถือเป็นเดือนที่การเมืองไทยเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ทั้งเหตุการณ์สำคัญระดับชาติและประเด็นร้อนในแวดวงการเมือง ตั้งแต่การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คนไทยทั้งประเทศร่วมไว้อาลัย ไปจนถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของสังคม ไม่ว่าจะเป็นกรณี “สแกมเมอร์กัมพูชา” ที่พาดพิงนักการเมืองระดับสูง การลาออกของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “วรภัค ธันยาวงษ์” รวมถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อ “MOU แรร์เอิร์ธ” ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล

          ท่ามกลางบรรยากาศที่ผันผวนเช่นนี้ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2568” ระหว่างวันที่ 28–31 ตุลาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่าง 2,126 คน ทั้งภาคสนามและออนไลน์ เพื่อประเมินระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมืองไทยในรอบเดือนนี้

ดัชนีการเมืองทรงตัวที่ 4.02 คะแนน – ประชาชน “เฝ้าดูแต่ไม่มั่นใจ”

          ผลการสำรวจพบว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนตุลาคม 2568 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.02 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ซึ่ง “เท่ากับ” เดือนกันยายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความนิ่งของความเชื่อมั่นทางการเมือง แม้รัฐบาลจะพยายามขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอย่าง “คนละครึ่งพลัส” เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ แต่กระแสความกังวลต่อความโปร่งใสทางการเมืองยังคงเป็นประเด็นหลักที่ฉุดความเชื่อมั่นไม่ให้ขยับขึ้น

          ในรายละเอียด ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุดคือ “ผลงานของฝ่ายค้าน” (4.60 คะแนน) สะท้อนว่าประชาชนยังเห็นบทบาทฝ่ายค้านในด้านการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ส่วนตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ “การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความโปร่งใส” (3.58 คะแนน) ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าและยังคงเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล

          นอกจากนี้ ตัวชี้วัดที่มีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” ได้แก่ เสถียรภาพทางการเมือง (4.22 คะแนน) และ ความมั่นคงของประเทศ (4.32 คะแนน) ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเจรจาสันติภาพไทย–กัมพูชาและการถอนกำลังตามแนวชายแดน ขณะที่ตัวชี้วัดด้าน “เศรษฐกิจโดยรวม” และ “ราคาสินค้า” ยังคงอยู่ในระดับต่ำและลดลงจากเดือนก่อน

ฝ่ายค้านแรงต่อเนื่อง-รัฐบาลพยุงภาพด้วย “คนละครึ่งพลัส”

          ในส่วนของนักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือนตุลาคม ฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ นาย อนุทิน ชาญวีรกูล (48.01%) รองลงมาคือ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ และ ภราดร ปริศนานันทกุล  ฝ่ายค้าน คือ นางสาว รักชนก ศรีนอก (37.85%) ตามด้วย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ รังสิมันต์ โรม

          ผลงานของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดคือ “โครงการคนละครึ่งพลัส” (64.42%) ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ผลงานของฝ่ายค้านที่ได้รับการชื่นชมสูงสุดคือ “การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล” (53.34%) โดยเฉพาะการผลักดันญัตติปราบสแกมเมอร์ในเวทีสหภาพรัฐสภาโลก (IPU) ที่ถือเป็นจุดเด่นของฝ่ายค้านในเดือนนี้

ปัจจัยกดดัน: “สแกมเมอร์–MOU แรร์เอิร์ธ” บั่นทอนความเชื่อมั่น

          ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นของรัฐบาลยังคงเป็นประเด็น “สแกมเมอร์กัมพูชา” ที่นำไปสู่การลาออกของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง วรภัค ธันยาวงษ์ และพาดพิงถึงนักการเมืองบางรายในรัฐบาล ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันต่อภาพลักษณ์และมาตรฐานความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างมาก

          อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางคือ MOU แรร์เอิร์ธ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายมองว่าไทยอาจเสียเปรียบในการเจรจา เนื่องจากข้อมูลบางส่วนไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องความโปร่งใสและผลประโยชน์ของประเทศ

          อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังได้รับแรงหนุนจากโครงการด้านเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่งพลัส” และมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ที่ช่วยประคับประคองคะแนนภาพรวมไม่ให้ลดลง แม้ความมั่นใจต่อการบริหารประเทศจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

 “เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ” คือภาพสะท้อนของเดือนนี้

ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า

          “ดัชนีการเมืองไทยเดือนตุลาคมทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนภาพรวมว่าประชาชน ‘เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ’ ต่อผลงานของรัฐบาล แม้จะมีความพยายามขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ แต่กระแสสังคมต่อกรณีสแกมเมอร์และ MOU แรร์เอิร์ธ ยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล”

ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจพร พึงไชย ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า

          “รัฐบาลต้องรักษาความเป็นรัฐบาลในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ให้ได้ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่พัวพันทั้งความขัดแย้งชายแดนและปัญหาทุจริต ย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองโดยตรง ขณะที่ฝ่ายค้านกลับมีคะแนนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าประชาชนกำลังให้คุณค่ากับบทบาทการตรวจสอบมากกว่าการบริหาร หากรัฐบาลไม่เร่งสร้างความโปร่งใส อาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเมืองและการเลือกตั้งในปีหน้า”

สรุปภาพรวม: เสถียรภาพคงที่แต่ความเชื่อมั่นยังเปราะบาง

          ภาพรวมของ “ดัชนีการเมืองไทย เดือนตุลาคม 2568” จึงชี้ให้เห็นว่าการเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วง “รอจังหวะ” ประชาชนยังไม่ถอนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล แต่ก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าจะมั่นใจอย่างเต็มที่ ปัจจัยหลักอยู่ที่ ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารกับประชาชน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของรัฐบาลในเดือนต่อ ๆ ไป

          ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายค้าน กลับมีแนวโน้มแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากบทบาทการตรวจสอบและความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหม่ ๆ ที่เริ่มสร้างสีสันให้การเมืองไทยมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

          สุดท้าย ดัชนีการเมืองที่ “ทรงตัว” ในเดือนตุลาคมอาจไม่ใช่สัญญาณของความนิ่ง หากแต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าความไว้วางใจทางการเมืองยังไม่กลับคืนมาเต็มรูปแบบ และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องเร่งสร้าง ก่อนที่สัญญาณความไม่มั่นใจนี้จะสะท้อนในผลลัพธ์ทางการเมืองในปีหน้า

Similar Posts