คะแนนความเชื่อมั่นการเมืองไทยลดลง ภัยพิบัติถล่มใต้กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล ขณะที่ฝ่ายค้านขยับบทบาทเด่นชัด
บทนำและภาพรวมการเมือง
เดือนพฤศจิกายน 2568 เป็นเดือนที่การเมืองไทยเผชิญทั้งแรงกดดันจากสถานการณ์วิกฤตและความคาดหวังจากสังคมพร้อมกัน เหตุการณ์มหาอุทกภัยในจังหวัดสงขลา หาดใหญ่ ทำให้ปัญหาการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลถูกตั้งคำถามอีกครั้ง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจยังอ่อนไหวและความกังวลต่อค่าครองชีพสูงยังคงกัดกินความเชื่อมั่นของประชาชน ด้านการเมือง พรรคการเมืองทยอยเปิดตัวผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอย่างคึกคัก โดยเฉพาะการเปิดตัวแคนดิเดตของฝ่ายค้านซึ่งได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง ส่งผลต่อทิศทางคะแนนนิยมในเดือนนี้อย่างมีนัยสำคัญ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568” จากกลุ่มตัวอย่าง 2,208 คน ระหว่างวันที่ 25–28 พฤศจิกายน 2568 เพื่อประเมินความเชื่อมั่นทางการเมืองในรอบเดือนนี้

ดัชนีการเมืองลดลงเหลือ 3.90 คะแนน ประชาชนยังไม่มั่นใจต่อการบริหารภาครัฐ
ผลสำรวจพบว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 3.90 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ลดลงจากเดือนตุลาคมที่ได้ 4.02 คะแนน แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นต่อการเมือง “อ่อนตัวลง” หลังเกิดเหตุวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ รวมถึงความรู้สึกว่าปัญหาปากท้องยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุดยังคงเป็น ผลงานของฝ่ายค้าน 4.46 คะแนน ขณะที่ตัวชี้วัดต่ำสุดคือ การแก้ปัญหาความยากจน 3.44 คะแนน สะท้อนว่า “เศรษฐกิจฐานราก” ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล
หลายตัวชี้วัดปรับลดลงเกือบทั้งแถว ไม่ว่าจะเป็น เสถียรภาพทางการเมือง (ลดลงเป็น 4.11) ความมั่นคงของประเทศ (4.13) ผลงานของรัฐบาล (3.85) ผลงานของนายกรัฐมนตรี (ลดเหลือ 3.69)
เป็นสัญญาณว่าประชาชนรู้สึกว่า “รัฐบาลยังแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุดและไม่ทันสถานการณ์”
ในทางกลับกัน ตัวชี้วัดด้านค่าครองชีพและราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สะท้อนว่านโยบาย “คนละครึ่งพลัส” พอช่วยประคับประคองในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอที่จะดึงคะแนนรวมของรัฐบาลขึ้นได้
ฝ่ายค้านคะแนนเด่น ฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีใครโดดเด่น
57.34% ของกลุ่มตัวอย่างมองว่า “ไม่มีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลคนใดโดดเด่น” ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงและเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลถูกจับตาจากเหตุอุทกภัยและปัญหาเศรษฐกิจ
ผู้ที่ถูกมองว่าโดดเด่นที่สุดของรัฐบาล คือ
อนุทิน ชาญวีรกูล (23.46%)
ตามด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า (19.20%)
ส่วนฝ่ายค้าน ได้แก่
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 39.49%
รักชนก ศรีนอก 31.97%
พริษฐ์ วัชรสินธุ 28.54%
ซึ่งสอดคล้องกับการลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยและการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีฝ่ายฝ่ายค้านในช่วงกลางเดือน
ผลงานที่ประชาชนชื่นชอบ คนละครึ่งยังช่วยพยุง แต่ภาพรวมยังไม่สดใส
ด้านผลงานรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบที่สุดคือ “คนละครึ่งพลัส” (39.51%) รองลงมาคือ การแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา (38.82%) และการประชุม APEC 2025 (21.67%)
ฝ่ายค้านโดดเด่นด้วยบทบาทตรวจสอบรัฐบาล (49.72%) และการเร่งปราบแก๊งสแกมเมอร์ (26.20%)
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอก เช่น น้ำท่วมใต้ กลับกลายเป็น “ตัวแปรลบ” ต่อภาพลักษณ์รัฐบาล
ความท้าทายของรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง
ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า
“ดัชนีการเมืองไทยเดือนนี้โดยรวมปรับลดลง แม้มาตรการคนละครึ่งพลัสจะช่วยพยุงคะแนนรัฐบาลจากการบรรเทาค่าครองชีพ แต่กลับไม่สามารถยกระดับคะแนนผลงานของนายกรัฐมนตรีได้ เพราะเหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการที่ยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน… น้ำท่วมครั้งนี้จึงไม่เพียงสร้างความเสียหายให้ประชาชน หากแต่ยังซัดกระทบคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญด้วย”
ด้าน รศ.ดร.รุ่งภพ คงฤทธิ์ระจัน วิเคราะห์ว่า
“แม้โครงการคนละครึ่งพลัสจะเป็นมาตรการที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด แต่คะแนนด้านเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาว่างงานยังลดลง สะท้อนว่ารัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น มิฉะนั้นภาพจำด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทินอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง”
สรุปภาพรวม: ความเชื่อมั่นสั่นคลอน รัฐบาลต้องเร่งกู้ภาพจำก่อนเข้าสู่ปีเลือกตั้ง
ภาพรวมของดัชนีการเมืองไทยเดือนพฤศจิกายนสะท้อนว่า “ความเชื่อมั่นของประชาชนยังเปราะบาง” และได้รับผลกระทบจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ การจัดการวิกฤตน้ำท่วมที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และปัญหาเศรษฐกิจฐานรากที่ยังไม่ดีขึ้น
ฝ่ายค้านกลับมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลเผชิญภารกิจสำคัญคือ “สร้างความเชื่อมั่นเร่งด่วน” ก่อนเข้าสู่บรรยากาศเลือกตั้งในปีหน้า
ดัชนีที่ลดลงจึงเป็น “สัญญาณเตือน” ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งจัดการปัญหาที่กระทบชีวิตประจำวันประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้คะแนนนิยมถดถอยไปมากกว่านี้ในช่วงเวลาที่ทุกเสียงกำลังมีความหมายทางการเมืองที่สุด